บึงผีหลอก
สมัยเด็กผมอยู่บ้านหนองคู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยเรียกกันว่าจังหวัดขุขันธ์ อันเป็นจังหวัดชายแดนติดกับกัมพูชาคำว่า “หมอเขมร” ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ เป็นที่รู้กันว่าหมอเขมรน่ะหมายถึงหมอไสยศาสตร์ ที่ช่ำชองเรื่องไสยดำ อาถรรพณ์ เวทอันเร้นลับน่าสยดสยอง แน่ล่ะครับ ว่าต้องหนีเรื่องภูตผีปีศาจไปไม่พ้น พูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบฟังทั้งนั้น ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็กลัวผีกันทุกคน พวกผู้ใหญ่เขาว่ามันก็ดีไปอย่าง เด็กๆ กลัวผีจะได้ไม่ไปซุกซนที่เปลี่ยวๆ หรือตกน้ำตกท่าเพราะลับหูลับตาพวกผู้ใหญ่
ขอเล่าถึงหมู่บ้านหนองคู ของผมซะก่อน พูดก็พูดเถอะ ที่นั่นน่าจะเรียกว่า “ดงตาล” มากกว่าครับ เพราะนอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้มไปทั้งหมู่บ้านแล้ว ยังมีต้นตาลขึ้นเรียงรายเป็นแนว ดกดื่นไม่รู้ว่ากี่ร้อยต้น ต้นตาลนี่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ลูกตาลกินได้ทั้งอ่อนและแก่ ลูกตาลอ่อนๆ กินแล้วชุ่มคอชื่นใจดีนัก ที่เขาเรียกว่า “หวานฉ่ำเหมือนลูกตาลเฉาะ” นั่นปะไร! ส่วนลูกแก่ก็เอามาทำขนมตาลกิน เม็ดที่มีขนฟูก็เอามาให้เด็กๆ เล่นสางผมกันเพลิดเพลินดีไม่หยอก จะบอกให้…ใบตาล ต้นตาล นำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น
ลุงเหลือ กับลุงใส ชอบชักชวนกันไปทอดแหที่หนองน้ำใหญ่นั้นบ่อยๆ ส่วนมากจะไม่ผิดหวัง ได้ปลาตัวโตๆ มากินเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา วันนั้นสองสหายหาปลาแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่มันหลบหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหมด มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยมาติดแหเท่านั้น ต่างคนต่างบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งไปตามๆ กัน ลุงเหลือถึงกับฮึดฮัดไม่หยุดหย่อน…อย่าว่าแต่จะเอาไปผัดไปแกงเป็นกับข้าวเลย แค่เอาไปทำแกล้มกินกับเหล้าก็ยังไม่พอ!
จนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว… ลุงใสเหวี่ยงแหโครมลงไปเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ถึงกับตาลุก ร้องว่าได้ไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวเท่าน่องแล้ว เพื่อนเอ๋ย…ก่อนจะช่วยกันดึงแหขึ้นมา เพ่งมองไปในความสลัวก็เห็นอะไรขาวๆ ดิ้นขลุกขลักเต็มแห แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องจ้าสุดเสียง นั่นคือ…ไม่มีปลาตัวโตๆ อย่างที่นึกกระหยิ่มใจ แต่กลับเป็นหัวกะโหลกขาวโพลนนับสิบๆ หัวที่กำลังหันขวับมาหัวเราะร่า อ้าปากปะหงับๆ จนสองเกลอปล่อยแหหลุดมือหันหลังกลับ ร้องแต่ว่า ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย…พลางวิ่งแหกป่าแหกดงกลับบ้านไม่คิดชีวิต…สบถสาบานว่าจะไม่ขอย่างกรายไปที่หนองน้ำผีสิงอีกต่อไป
ตากรีกับตาบ่าย รู้ข่าวก็หัวเราะร่า ประกาศว่าพวกแกไปหาปลาตั้งแต่สมัยหนุ่มจนผมหงอกเต็มหัว ไม่เคยกลัวผีสางนางไม้ที่ไหน…ต่อไปจะไปหาปลาที่หนองใหญ่มากินทุกๆ วันรุ่งขึ้นชายชราทั้งสองก็เจอดีเข้าอย่างจัง! หลังจากช่วยกันลากแหหนักอึ้งพักใหญ่ โดนดึงกลับจนต้องลุยน้ำที่ริมขอบหนองลงไป กระทั่งดึงแหขึ้นมาได้…ปรากฏว่าไม่มีปลา ไม่มีหัวกะโหลก แต่เป็นร่างศพผู้หญิงผมยาวกำลังขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนสองเกลอหงายตึงลงน้ำด้วยความตกใจสุดขีด ต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นบกได้ก็เผ่นกระเจิง ล้มลุกคลุกคลานเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นจนถึงบ้าน…สองสหายเล่าเหตุการณ์กระท่อนกระแทนก่อนจะสิ้นสติไป ตากรีจับไข้ได้สองวันก็ขาดใจตาย ส่วนตาบ่ายก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้…ไม่มีใครกล้าไปหาปลาที่หนองน้ำนั้นตอนกลางคืนอีกเลย!
พ่อเคยชวนผมไปตกเบ็ดตอนกลางวันแสกๆ ต้นตาลที่ดกหนาร่มครึ้ม ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ลมเจ้ากรรมก็พัดซ่าๆ ไม่หยุดหย่อน ใบตาลแก่ๆ แกว่งไกวแกรกกราก…เล่นเอาผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุดหย่อนจนต้องนั่งเบียดพ่อแจ พึมพำว่า…ทำไมไม่มีใครมาตกเบ็ดทอดแหกันสักคน? พ่อชักคันเบ็ดขึ้นมาเก็บ พูดเบาๆ ว่า…เอ็งลองมองดูอีกทีซิว่ามีกี่คนกันแน่? ผมเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วต้องอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป…รอบบึงใหญ่นั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กๆ ก็มี กำลังนั่งตกปลาตัวแข็งทื่อหลายสิบคน…ก่อนจะร้องโวยวาย พ่อก็ฉุดมือผมลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินช้าๆ พลางกระซิบว่า…อย่าหันไปมองพวกมัน! ยอดตาลไหวซ่า เล่นเอาขาผมแข็งทื่อแทบจะก้าวไม่ไหว อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกจนกระทั่งถึงบ้าน…ไม่ขาดใจตายเพราะบึงผีสิงอย่างตากรีก็บุญโขแล้วครับ!
ไม่มีความคิดเห็น: